Saturday, August 31, 2013

กรด - เบส

กรด - เบส คืออะไร


กรด เบส ในชีวิตประจำวัน ( Acid Base in Everyday Life)
สารประกอบจำพวกกรด เบส มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างมาก ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า กรด เบส คืออะไรอย่างง่ายๆ
สารละลายกรด คือสารละลายที่มีรสเปรี้ยว เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากน้ำเงินเป็นแดง หรือทำปฏิกิริยากับโลหะได้ แก๊ส H 2 และ เกลือ
สารละลายเบส คือสารละลายที่มีรสขม เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากแดงเป็นน้ำเงิน หรือมีลักษณะลื่นๆ


นิยามของกรด-เบส

Arrhenius Concept
กรด คือ สารประกอบที่มี H และเมื่อละลายน้ำจะแตกตัวให้ H + หรือ H 3O +
เบส คือ สารประกอบที่มี OH และเมื่อละลายน้ำจะแตกตัวให้ OH -
ข้อจำกัดของทฤษฎีนี้คือ สารประกอบต้องละลายได้ในน้ำ และไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมสารประกอบบางชนิดเช่น NH 3 จึงเป็นเบส

Bronsted-Lowry Concept
กรด คือ สารที่สามารถให้โปรตอน ( proton donor)แก่สารอื่น
เบส คือ สารที่สามารถรับโปรตอน ( proton acceptor)จากสารอื่น
ปฏิกิริยาระหว่างกรดกับเบสจึงเป็นการถ่ายเทโปรตอนจากกรดไปยังเบสเช่น แอมโมเนียละลายในน้ำ
NH 3(aq) + H 2O (1) NH 4 + (aq) + OH - (aq)
base 2 ........ acid 1 ........ acid 2 ........ base 1
ในปฏิกิริยาไปข้างหน้า NH 3 จะเป็นฝ่ายรับโปรตอนจาก H 2O ดังนั้น NH 3 จึงเป็นเบสและ H 2O เป็นกรด แต่ในปฏิกิริยาย้อนกลับ NH 4 + จะเป็นฝ่ายให้โปรตอนแก่ OH - ดังนั้น NH 4 + จึงเป็นกรดและ OH - เป็นเบส อาจสรุปได้ว่าทิศทางของปฏิกิริยาจะขึ้นอยู่กับความแรงของเบส

Lewis Concept
กรด คือ สารที่สามารถรับอิเลคตรอนคู่โดดเดี่ยว ( electron pair acceptor) จากสารอื่น
เบส คือ สารที่สามารถให้อิเลคตรอนคู่โดดเดี่ยว ( electron pair donor)แกสารอื่น
ทฤษฎีนี้ใช้อธิบาย กรด เบส ตาม concept ของ Arrhenius และ Bronsted-Lowry ได้ และมีข้อได้เปรียบคือสามารถอธิบาย กรด เบส ในกรณีที่เกิดปฏิกิริยาระหว่างกัน และได้สารประกอบที่มีพันธะโควาเลนซ์ เช่น
OH - (aq) + CO 2 (aq) HCO 3 - (aq)
BF 3 + NH 3BF 3-NH 3

คู่กรด – เบส
คู่กรด – เบส คือ สารที่เป็นคู่กรด-เบสกัน H + ต่างกัน 1 ตัว โดยที่ คู่กรดจะมี H + มากกว่าคู่เบส 1 ตัว

ความแรงของกรดและเบส = การแตกตัวในการให้โปรตอน(กรด) ความสามารถในการรับโปรตอน(เบส)
CH 3COOH (aq) + H 2O (aq) CH 3COO - (aq) + H 3O + (aq)
<<< เราต้องรู้ทิศทางการเลื่อนของสมดุลก่อน เราจึงจะบอกถึงความแรงได้>>>
1. ถ้าสมดุลเลื่อนไปทางขวา CH 3COOH เป็นกรดแรงกว่า H 3O + / H 2O เป็นเบสแรงกว่า CH 3COO -
2. ถ้าสมดุลเลื่อนไปทางซ้าย H 3O + เป็นกรดแรงกว่า CH 3COOH / CH 3COO - เป็นเบสแรงกว่า H 2O
ถ้าค่า K > 1 สมดุลเลื่อนไปข้างหน้า(สารผลิตภัณฑ์มากกว่าสารตั้งต้น)
K < 1 สมดุลเลื่อนย้อนกลับ(สารผลิตภัณฑ์น้อยกว่าสารตั้งต้น)
K = 1 ไปข้างหน้าเท่ากับย้อนกลับ (สารผลิตภัณฑ์=สารตั้งต้น) ความแรงทั้ง 2 ข้างเท่ากัน

เปรียบเทียบกรดแก่กับเบสแก่
กรดแก่
เบสแก่
1. กรดแก่มีอะไรบ้าง
2. กรด Hydro = HCl HBr HI
3. กรด Oxy = HNO3 HClO3 HClO4 H2SO4
4. การแตกตัว 100%
5. การเป็นอิเล็กโทรไลต์ = แก่
1. เบสแก่มีอะไรบ้าง
2. หมู่ 1 = LiOH NaOH KOH RbOH CsOH
3. หมู่ 2 = Ca(OH)2 Sr(OH)2 Ba(OH)2
4. การแตกตัว 100 % ( หมู่ 2 แตก 200 %)
5. การเป็นอิเล็กโทรไลต์ = แก่
กรดแก่ ( strong acid) คือกรดที่สามารถแตกตัวได้ 100% ในน้ำ เช่น HCl H2SO4 HN03 HBr HClO4 และ HI
เบสแก่ ( weak base) คือกรดที่สามารถแตกตัวได้ 100% ในน้ำ เช่น Hydroxide ของธาตุหมู่ 1 และ 2 ( NaOH LiOH CsOH Ba(OH) 2 Ca(OH) 2 )
กรดอ่อน ( weak acid) คือกรดที่สามารถแตกตัวเป็นไอออนได้เพียงบางส่วน เช่น กรดอะซิติคในน้ำส้มสายชู (vinegar) ยาแอสไพริน (acetylsalicylic acid) ใช้บรรเทาอาการปวดศรีษะ saccharin เป็นสารเพิ่มความหวาน niacin (nicotinic acid) หรือ ไวตามินบี เป็นต้น ตัวอย่างปฏิกิริยาของสารละลายกรด CH 3COOH ในส่วนผสมของน้ำส้มสายชูจะมีดังนี้ :
CH 3COOH (aq) + H2O (1) H3O + (aq) + CH3COO - (aq) มีค่า K a
เบสอ่อน (weak base)คือเบสที่สามารถแตกตัวเป็นไออนได้เพียงบางส่วน เช่น NH 3 urea aniline เป็นต้น ตัวอย่างปฏิกิริยาของ ammonia มีดังนี้
NH3(aq) + H2O (aq) NH4 + (aq) + OH - (aq)

ชนิดของกรดและเบส
กรด แบ่งตามการแตกตัว แบ่งได้ 3 ชนิด
1. กรด Monoprotic แตกตัว 1 ได้แก่ HNO 3 , HClO 3 , HClO 4 , HCN
2. กรด Diprotic แตกตัว 2 ได้แก่ H 2SO 4 , H 2CO 3
3. กรดPolyprotic แตกตัว 3 ได้แก่ H 3PO 4
การแตกตัวของกรด Polyprotic แต่ละครั้งจะให้ H + ไม่เท่ากัน แตกครั้งแรกจะแตกได้ดีมาก ค่า Ka สูงมากแต่แตกครั้งต่อ ๆ ไปจะมีค่า Ka ต่ำมาก เพราะประจุลบในไอออนดึงดูด H + ไว้ดังสมการ
H 2SO 4 H+ + HSO 4 - Ka 1 = 10 11
HSO 4 - H+ + SO 4 2- Ka 2 = 1.2 x 10 -2
เนื่องมาจากกรด Polyprotic มักมีค่า K 1 >> K 2 >> K 3 H + ในสารละลายส่วนใหญ่จะได้มาจากการแตกตัวครั้งแรก
ถ้าค่า K 1 มากกว่า K 2 =10 3 เท่าขึ้นไปจะพิจารณาค่า pH ของสารละลายกรด Polyprotic ได้จากค่า K 1 เท่านั้น แต่ถ้าค่า K 2 มีค่าไม่ต่ำมาก จะต้องนำค่า K 2 มาพิจารณาด้วย
เบส แบ่งตาม จำนวน OH - ในเบส แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ
1. เบสที่มี OH - ตัวเดียว เช่น LiOH NaOH KOH RbOH CsOH
2. เบสที่มี OH - 2 ตัว เช่น Ca(OH) 2 Sr(OH) 2 Ba(OH) 2
3. เบสที่มี OH - 3 ตัว เช่น Al(OH) 3 Fe(OH) 3

รวมสูตรที่ใช้คำนวณในกรณีหา กรดอ่อน เบสอ่อน ไม่ผสมกัน
สูตรที่
กรณี (ต้องการหาอะไร)
กรดอ่อน
เบสอ่อน
1.
หาค่า K
Ka = [H +] 2 /N
Kb = [ OH -] 2 /N
2.
หา [ H +]
[H +] = [Ka.N]^1/2
[ OH -] = [Kb.N]^1/2
3.
หา % การแตกตัว
% การแตกตัว = [H +] x 100 / N
% การแตกตัว = [ OH -] x 100 / N
4.
การรวมสูตรของ % กับ K
% = Ka x 100 / N
% = Kb x 100 / N

ปฏิกิริยาของกรด - เบส
ปฏิกิริยาของกรด เบส แบ่งได้เป็น 4 ชนิดคือ
    • ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่กับเบสแก่
    • ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่กับเบสอ่อน
    • ปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่
    • ปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสอ่อน

การแตกตัวของน้ำและค่า pH ของสารละลาย
น้ำบริสุทธิ์จัดเป็นตัวทำละลายที่สำคัญ เป็นพวก นอน-อิเลคโตรไลท์ (nonelectrolyte) หรือไม่สามารถนำไฟฟ้า แต่จากการทดลองพบว่า น้ำบริสุทธิ์นำไฟฟ้าได้บ้างเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะว่าน้ำสามารถแตกตัวได้เอง ซึ่งเรียกว่า self-ionization หรือ autoprotolysis
H 2O (1) + H 2O (1) H 3O + (aq) + OH -(aq)
.... acid 1 .....base 2 .............acid 2 ........base 1
หรือ 2H 2O (1) = H 3O + (aq) + OH - (aq)
จากความสัมพันธ์ของ K w ในปฏิกิริยาการแตกตัวของน้ำ
K w = [H 3O +][ OH -] = 1.0 x 10 -14 ที่ 25 C
(K w ที่ 0 C = 0.12 x 10 -14 และ ที่ 60 C = 9.6 x 10 - 14 M2)
จะได้ pK w = pH + pOH
โดยที่ pH ของ น้ำ = -log [H 30 +] = 7 และpOH ของ น้ำ = -log[ OH -] = 7
โดยทั่วไปแล้ว ค่า pH ของสารละลายที่พบอยู่ทั่วไป จะมีค่าอยู่ในช่วง 1-14 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ค่า pH อาจแสดงค่าเป็นลบหรือมีค่ามากกว่า 14 ได้เช่นเดียวกัน

ตัวอย่าง ค่า pH ของนมสด เท่ากับ 6.5 ถ้านมเสีย (เปรี้ยว) ค่า pH ของนมเสียจะมากหรือน้อยกว่านมสด
ตอบ น้อยกว่า

ตัวอย่าง จงหาค่า pH ของสารละลายที่เจือจางของ HCl เข้มข้น 1.0 x 10 - 8 M
วิธีทำ HCl เจือจาง แตกตัวได้ H + 1.0 x 10 - 8 M และน้ำแตกตัวได้ H+ 1.0 x 10 - 7 M
ปริมาณ H + ที่เกิดขึ้น = 1.0 x 10 -8 + 1.0 x 10 - 7 M
pH = -log (1.0 x 10 -8 + 1.0 x 10 -7 )
= 6.96

สารละลายบัฟเฟอร์ ( Buffer Solution)
สารละลายบัฟเฟอร์ คือ สารละลายที่สามารถต้านทานการเปลี่ยนแปลงค่า pH ของสารละลายได้
สารละลายบัฟเฟอร์ คือ สารละลายที่ค่า pH จะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อนำไปทำให้เจือจางหรือเข้มข้นขึ้น
สารละลายบัฟเฟอร์ คือ สารละลายที่ประกอบไปด้วยกรดอ่อนกับเกลือของกรดอ่อนหรือเบสอ่อนกับเกลือของเบสอ่อน และสารในระบบจะไม่ทำปฏิกิริยากัน โดยที่กรดในระบบจะคอยทำปฏิกิริยากับเบสที่เติมลงไป และเบสในระบบจะคอยทำปฏิกิริยากับกรดที่เติมลงไป
ตัวอย่าง จงหา pH ของสารละลายที่ประกอบด้วย 0.10 M NH 3 และ 0.20 M NH 4Cl เมื่อ K b ของ NH 3 เท่ากับ 1.8x10 -5 ที่ 25 oC
วิธีทำ สมดุลการแตกตัวของเบส :
ความเข้มข้น ( M) NH 3(aq) + H 2O (1) NH 4 + (aq) + OH - (aq)
........................................................เริ่มต้น ................ 0.10 .......................................0.20 ............0
........................................................เปลี่ยนแปลง .......... -x ..........................................+x ..............+x
........................................................ที่สมดุล .................. 0.10-x ..................................0.20+x .......x
ค่าคงที่การแตกตัวของเบสอ่อน :
K b =
1.8 x 10 -5 =
ใช้วิธีประมาณว่า 0.20 + x ~ 0.20 และ 0.10 - x ~ 0.10 จะได้
= 1.8 x 10 -5
.......................................................................... x = [ OH - ] = 1.8x10 -5 x = 9.0 x 10 -5
........................................................................ pH = 14.00 - pOH = 14.00 + log[ OH - ]
....................................................................... 14.00 + log (9.0 x 10 -5) = 14.00 - 5.05 = 8.95

ถ้าเติมกรดปริมาณเล็กน้อยลงไปในสารละลายบัฟเฟอร์นี้ สมการที่เกิดขึ้นคือ NH 3 + H + = NH 4 +
ถ้าเติมเบสปริมาณเล็กน้อยลงไปในสารละลายบัฟเฟอร์นี้สมการที่เกิดขึ้นคือ NH 4 ++ OH -= NH 3+H 2O
การเลือกใช้สารละลายบัฟเฟอร์ที่เหมาะสม
ตัวอย่าง ต้องการเตรียมสารละลายบัฟเฟอร์ที่มี pH คงที่ = 4.30 จะต้องเลือกใช้สารละลายบัฟเฟอร์จากขวดใดต่อไปนี้
ขวดที่ 1 HS0 4 - / SO 4 2- Ka = 1.2 x 10 -2
ขวดที่ 2 HOAc / OAc - Ka = 1.8 x 10 -5
ขวดที่ 3 HCN / CN - Ka = 4.0 x 10 -10
วิธีทำ สารละลาย pH = 4.30 [H +] = 5.0 X 10 - 5 M
เลือกใช้ HOAc / OAc - เพราะมีค่า Ka ใกล้เคียงกับ [H +] = 5.0 X 10 - 5 M ที่คำนวณได้มากที่สุด
แต่จะต้องมีการปรับอัตราส่วนของกรด ต่อเบส
.............. acid + H 2O = H 3O + + conjugate base
เมื่อ H + = 5.0 X 10 –5 และ Ka = 1.8 x 10 -5 จะได้ [HOAc] / [OAc - ] = 2.8
อัตราส่วนนี้จะคงที่เสมอ ไม่ว่าจะเติมน้ำทำให้เจือจาง หรือใช้ปริมาตรเท่าไร

อินดิเคเตอร์
อินดิเคเตอร์ คือ สารที่ใช้ทดสอบกรด-เบสของสารละลาย อินดิเคเตอร์ทั่วไปมีสมบัติเป็นกรดอ่อน เป็นสารที่เปลี่ยนสีได้เมื่อ pH ของสารละลายเปลี่ยนไป *โดยทั่วไปจะใช้ HIn แทนสูตรทั่วไปของอินดิเคเตอร์ สมการการแตกตัวของอินดิเคเตอร์
HIn (aq) + H 2O (l) H 3O + (aq) + In - (aq)
Ka = [H 3O +][ In - ] / [ HIn]
  • ยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ สามารถบอกความเป็นกรดเป็นเบสของสารละลายได้ และบอกค่า pH ได้
การเปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์
HIn (aq) + H 2O (l) H 3O + (aq) + In - (aq)
แดง ..............................................................................น้ำเงิน
  • ถ้าเติมกรดลงไปเปรียบเสมือนเติม H 3O + สมดุลจะย้อนกลับจะได้สารละลายสีแดง
  • ถ้าเติมเบสเปรียบเสมือนเติม OH - , OH - จะไปดึง H 3O + ให้กลายเป็นน้ำสมดุลเลื่อนไปข้างหน้าสารละลายเป็นสีน้ำเงิน
หลักการเลือกอินดิเคเตอร์ ควรเลือกสารที่มีการเปลี่ยนสีตามการเปลี่ยนค่า pH เเละ สีสังเกตได้ชัด
การคำนวณหาช่วง pH ช่วง pH = -log K Hin + 1

ตารางธาตุ


OHSAS 18001 คืออะไร


 
OHSAS 18001 คือ ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ซึ่งจัดทำสถาบันมาตรฐานของอังกฤษ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการใน การจัดการปัญหาความปลอดภัยและสุขภาพเกี่ยวกับอาชีพ 

หลักการของมาตรฐาน OHSAS 18001 

ระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย OHSAS 18001เป็นระบบที่ช่วย ป้องกันการบาดเจ็บและเจ็บป่วยของบุคลากร เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐาน ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ยังช่วยเปิดโอกาส ในการดำเนินธุรกิจกับกลุ่มลูกค้าที่คำนึงถึงความปลอดภัยและสุขภาพของบุคลากรในบริษัทคู่ค้า และช่วยเสริมสร้างทัศนะคติของผู้ปฏิบัติงาน และปรับปรุงสถานที่ปฏิบัติงานของ ภายในองค์กรให้ปลอดภัยมากขึ้น 

ประโยชน์จากการใช้ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย OHSAS 18001

1. รักษาและป้องกันชีวิตและทรัพย์สินอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุอันอาจเกิดขึ้นในองค์กร

2. เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอุบัติเหตุ และภาวะฉุกเฉินก่อนที่จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น ซึ่งมีผลทำให้เกิดความเสียหาย ทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สินน้อย

3. สร้างขวัญและกำลังใจแก่พนักงานให้เกิดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยต่อชีวิตการ ทำงานในองค์กร ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการผลิต

4. ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรต่อสังคม ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถนำไปใช้ในการ โฆษณาและประชาสัมพันธ์เพื่อเสริมสร้าง ภาพลักษณ์ขององค์กรให้ดียิ่งขึ้นและเป็นที่ยอมรับ ในสังคม

5. เตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การแข่งขันทางด้านการค้าในตลาดโลก ลดรายจ่ายเงิน ทดแทนในการรักษาพยาบาลและลดอัตรากรมธรรม์ประกันภัย อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุและ เหตุการณ์ฉุกเฉินในองค์กร

ระยะเวลาในการเริ่มจัดทำระบบ
การนำระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย OHSAS 18001 ไปประยุกต์ใช้ใน องค์กรอาจใช้เวลาโดยเฉลี่ยตั้งแต่ 3-6 เดือน ขึ้นกับความระบบการจัดการที่ใช้ดำเนินงานอยู่ ในปัจจุบัน รวมถึงความซับซ้อนขององค์กร นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจาก ผู้บริหารระดับสูง ทั้งในเรื่องเวลาและทรัพยากรต่างๆ จิตสำนึกด้านอาชีวอนามัยและ ความปลอดภัย ความร่วมมือของบุคลากรในองค์กร และความเพียงพอของงบประมาณ 

ขั้นตอนในการจัดทำระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย OHSAS 18001 

ในการจัดทำระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย OHSAS 18001 ประกอบด้วย ขั้นตอนหลัก 4 ขั้นตอนคือ

1. การทบทวนสถานภาพปัจจุบันขององค์กร
เป็นการทบทวนระบบเอกสาร ระบบบริหารจัดการ รวมถึงช่องว่างในการบริหารจัดการของ องค์กรในปัจจุบัน โดยเปรียบเทียบกับความสอดคล้องของการดำเนินงานเมื่อเทียบกับ ข้อกำหนดของระบบ การจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย OHSAS 18001
2. การจัดทำระบบเอกสาร
คณะทำงานต้องจัดทำระบบเอกสาร ซึ่งประกอบด้วยคู่มืออาชีวอนามัยและความปลอดภัย ระเบียบวิธีปฏิบัติงาน และคู่มือในการทำงาน เพื่อใช้สื่อสารและฝึกอบรมทำความเข้าใจกับ บุคลากรทุกระดับ
3. การนำเอกสารระบบอาชีวอนามัยและความปลอดภัยไปปฏิบัติ
เป็นการนำเอกสารตามขั้นตอนที่ 2 ไปปฏิบัติ เพื่อทวนสอบความสมบูรณ์ของเอกสารและ ทวนสอบถึงความเพียงพอของเอกสาร รวมถึงการตรวจวัดคุณภาพและการจัดการความ เสี่ยงทางด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ที่เกิดขึ้นในองค์กร
4. การตรวจสอบระบบอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการจัดทำระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย OHSAS 18001 โดยตรวจสอบการดำเนินงาน ตามระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ทั้งหมดว่าระบบที่จัดทำขึ้นมีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด รวมถึงการปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่องจากการดำเนินงานทั้งหมด

เรียนรู้ภัยอันตรายของสารเคมีผ่าน MSDS

MSDS คืออะไร

MSDS (Material Safety Data Sheets) หรือ เอกสารข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมี หมายถึงเอกสารที่แสดงข้อมูลของสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับความอันตรายของสารเคมี, องค์ประกอบของสารเคมี, มาตรการการปฐมพยาบาลเมื่อสัมผัสกับสารเคมี ฯลฯ ซึ่งข้อมูลที่อยู่ใน MSDS ของสารเคมีประกอบด้วย 16 หัวข้อได้แก่
  1. ข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีและบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายจะกล่าวถึง ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์, หมายเลขผลิตภัณฑ์ , ชื่อผลิตภัณฑ์ และ ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิต/ผู้ส่ง
  2. องค์ประกอบ/ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบของสารเคมีจะกล่าวถึงชื่อพ้องของสารเคมี, CAS Number, สูตรโมเลกุลของสารเคมี
  3. ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของสารเคมีจะกล่าวถึง ความเป็นอันตรายเมื่อสัมผัส หรือสูดดมสารเคมี
  4. มาตรการปฐมพยาบาลจะกล่าวถึง การรักษาพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสัมผัส หรือสูดดมสารเคมี
  5. มาตรการการผจญเพลิงจะกล่าวถึงสารที่ใช้ดับเพลิงในกรณีที่สารนั้นเกิดเพลิงไหม้
  6. มาตรการเมื่อมีอุบัติเหตุสารเคมีหกรั่วไหล จะกล่าวถึงวิธีการป้องกันในกรณีที่สารเคมีเกิดหกรั่วไหล
  7. ข้อปฏบัติการใช้สารและการเก็บรักษาจะกล่าวถึงวิธีการเก็บรักษาสารเคมีอย่างปลอดภัย
  8. การควบคุมการสัมผัสสาร/การป้องกันส่วนบุคคลจะกล่าวถึง อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่จำเป็นในการใช้ป้องกันจากการใช้สารเคมีชนิดนั้นๆ อาทิเช่น แว่นตา, หน้ากาก ฯลฯ
  9. สมบัติทางเคมีและกายภาพจะกล่าวถึงสมบัติทางกายภาพและทางเคมีต่างๆ ของสารเคมี อาทิเช่น ลักษณะ สี กลิ่น จุดเดือด จุดหลอมเหลว จุดติดไฟ เป็นต้น
  10. ความเสถียรและความว่องไวต่อปฏิกิริยา จะกล่าวถึงสภาวะหรือสารที่ต้องหลีกเลี่ยงในการใช้สารเคมีชนิดนั้นๆ
  11. ข้อมูลทางพิษวิทยาจะกล่าวถึง พิษเฉียบพลันและความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลันเรื้อรังจากการใช้สารเคมีอาทิเช่น ค่า LD50, อันตรายจากการดูดดม หรือรับพิษเข้าสู่ร่างกาย
  12. ข้อมูลเชิงนิเวศน์จะกล่าวถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ เช่น ค่า LC50, การย่อยสลาย
  13. มาตรการการกำจัดจะกล่าวถึงวิธีการกำจัดสารเคมีที่เหมาะสม
  14. ข้อมูลการขนส่งจะกล่าวถึง การขนส่งสารเคมีในวิธีต่างๆ
  15. ข้อมูลเกี่ยวกับข้อกำหนดและพระราชบัญญัติจะกล่าวถึงระเบียบการติดฉลากตามระบบต่างๆ
  16. ข้อมูลอื่นๆจะกล่าวถึงปัจจัยควบคุมเฉพาะในการใช้สารเคมี
โดยส่วนใหญ่เอกสารMSDS นี้จะต้องติดไปกับสารเคมีเพื่อใช้เป็นข้อมูลประจำตัวของสารเคมีในการใช้งานและประกอบการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเช่นในการขอขึ้นทะเบียนโดยข้อมูลที่ใช้ในการค้นหา MSDS คือ ชื่อสารเคมี รหัสสารเคมี หมายเลข CAS หมายเลข UN/ID หรือสูตรเคมีของสารจากการสังเกตเนื้อหาข้างต้น เราจะพบว่ามีคำศัพท์เฉพาะทางที่ใช้กับ MSDS มากมาย เช่น CAS Number, UN/ID No, จุดวาบไฟ ฯลฯ ซึ่งคำศัพท์เหล่านั้นสามารถอธิบายได้ดังนี้ 
 
คำนิยามของคำชี้บ่งต่างๆ ที่ปรากฏใน MSDS
UN/ID No. เป็นรหัสตัวเลข 4 หลัก เพื่อชี้บ่งชนิดของสารเคมี (Identification Number) ที่ถูกกำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ (United Nations) และกรมการขนส่งแห่งสหรัฐอเมริกา(Department of Transportation ; DOT)
เช่น คลอรีน มีรหัส UN/ID No. คือ1017
แอมโมเนียแอนไฮดรัสมีรหัส UN/ID No. คือ 1005
ประโยชน์ของรหัส UN/ID NO. นอกจากใช้เป็นรหัสตัวเลขชี้บ่งชนิดของสารเคมีแล้วยังใช้เป็นรหัสสืบค้นขั้นตอนการปฏิบัติในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินจากระบบให้บริการข้อมูลการระงับอุบัติภัยจากสารเคมีอัตโนมัติทางโทรศัพท์หรือสายด่วน AVERS จากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมมลพิษต่างๆ อาทิเช่น กรมควบคุมมลพิษทางโทรศัพท์หมายเลข1650 หรือ0 2298 2444 หรือสืบค้นจากEmergency Response Guidebook ของกรมการขนส่งแห่งสหรัฐอเมริกา (DOT) เช่น
UN/ID NO.
ชื่อสาร
AVERS Guide
DOT Guide
UN/ID 1017
คลอรีน
12
124
UN/ID 1005
แอมโมเนีย แอนไฮดรัส
07
125
CAS Number (Chemical Abstracts Service Registry Number) เป็นชุดตัวเลขที่กำหนดขึ้นโดย Chemical Abstracts Service of the American Chemical Society เพื่อใช้สำหรับชี้บ่งชนิดของสารเคมีอันตรายที่กำหนดในกฎหมายเรื่อง Toxic Substance Control Act (TSCA) โดยประกอบด้วยตัวเลข 3 กลุ่ม
· กลุ่มที่ 1 ประกอบด้วยตัวเลข 2-6 หลัก
· กลุ่มที่ 2 เป็นตัวเลข 2 หลักและ
· กลุ่มที่ 3 เป็นตัวเลข 1 หลักสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขทั้งชุด
IUPAC NAME คือ ชื่อที่ใช้เรียกสารเคมีชนิดต่างๆ ที่เป็นระบบสากล โดยชื่อสารเคมีจะถูกตั้งโดยองค์กร IUPAC (International Union of Pure and Applied Chemistry) เพื่อที่การเรียกชื่อของสารเคมีชนิดต่างๆ จะได้เป็นมาตรฐานระบบเดียวกันทั่วโลก
รหัส IMO (INTERNATIONAL MARINTIME ORGANIZATION) คือสัญลักษณ์รูปภาพที่ใช้เพื่อบอกความเป็นอันตรายของสารเคมี เช่น สารไวไฟ, สารเป็นพิษอันตรายถึงชีวิต ดังตัวอย่างต่อไปนี้
RTECS (The Registry of Toxic Effects of Chemical Substance) เป็นรหัสชี้บ่งชนิดของสารเคมีในฐานข้อมูลพิษวิทยา ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลและปรับปรุงเพิ่มเติมโดย สถาบัน National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH) เพื่อให้ข้อมูลสอดคล้องกับ Occupational Safety and Health Act, Section 20 (a) (b) ประกอบด้วยข้อมูลพิษวิทยาของสารเคมีมากกว่า 130,000 ชนิด ซึ่งข้อมูลพิษวิทยาของสารเคมีแต่ละตัวประกอบด้วย อาการระคายเคืองเบื้องต้น การก่อกลายพันธุ์ (Mutagenic) ผลต่อระบบสืบพันธุ์ (Reproductive) การเกิดเนื้องอก (Tumorgenic) และพิษเฉียบพลัน (Acute Toxicity)
สถานะ (STATUS) ปกติสถานะของสารเคมีจะมีอยู่ 3 สถานะ คือ ของแข็ง (Solid) ของเหลว (Liquid) และก๊าซ (Gas) ซึ่งสถานะของสารเคมีมีผลต่อลักษณะการเกิดอันตราย เช่น
สถานะ
ลักษณะของสารเคมี
ลักษณะอันตราย
ของแข็ง
(Solid)
ผลึก เม็ด เกล็ด ผง ฝุ่น
สัมผัสถูกผิวหนัง ตา หายใจเข้าไป การกินเข้าไป
ของเหลว
(Liquid)
ของเหลว ก๊าซเหลว
สัมผัสถูก/กระเด็นใส่ผิวหนัง ตา
ก๊าซ
(Gas)
ก๊าซ ไอระเหย ละออง ควัน
หายใจเข้าไป สัมผัสถูกผิวหนัง ตา
จุดหลอมเหลวและจุดเดือด (MELTING AND BOILING POINT) คืออุณหภูมิที่ทำให้สารเคมีเปลี่ยนสถานะจากของแข็งหลอมเป็นของเหลว หรือของเหลวเดือดกลายเป็นก๊าซ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายสูงกว่าได้ เช่น กำมะถันปกติจะมีสถานะเป็นผลึก ของแข็ง หรือผง เมื่อให้ความร้อนสูงถึง 119 องศาเซลเซียส ก็จะหลอมละลายเป็นกำมะถันเหลว (Melted) S8 หรือ H2SO4 และจะเดือดกลายเป็นไอของ SO2 และ SO3 ที่อุณหภูมิสูงกว่า 444.6 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเป็นอันตรายจากความเป็นพิษและฤทธิ์กัดกร่อนมากกว่าของเหลวและของแข็งตามลำดับ
ความถ่วงจำเพาะ (SPECIFIC GRAVITY) คือ น้ำหนักของของเหลวเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำที่ปริมาตรเท่ากัน (น้ำ = 1) ถ้าสารเคมีนั้นไม่ละลายน้ำ และมีค่าความถ่วงจำเพาะมากกว่า 1 สารเคมีนั้นก็จะจมน้ำแต่ถ้ามีค่าน้อยกว่า 1 สารเคมีนั้นจะลอยน้ำ
  • ข้อควรระวัง สารที่มีความถ่วงจำเพาะน้อยกว่า 1 จะลอยน้ำ ถ้าเป็นสารไวไฟ และไม่ละลายน้ำต้องระมัดระวังอันตรายจากการเกิดอัคคีภัย การระเบิดและเป็นพิษของไอระเหย แต่ถ้าสารที่มี ความถ่วงจำเพาะมากกว่า 1 จะจมน้ำต้องระมัดระวังการก่อให้เกิดอันตรายต่อสัตว์น้ำได้
ความหนาแน่นไอ (VAPOR DENSITY) คือ น้ำหนักของไอระเหยหรือก๊าซเมื่อเทียบกับอากาศในปริมาตรที่เท่ากัน (อากาศ = 1) ถ้าความหนาแน่นมากกว่า 1 สารเคมีนั้นจะหนักกว่าอากาศและเกิดการสะสมในที่ต่ำหรือแพร่กระจายบนพื้น แต่ถ้าความหนาแน่นน้อยกว่า 1 สารเคมีนั้นเบากว่าอากาศก็จะลอยขึ้นที่สูง
  • ข้อสังเกต ความหนาแน่นไอมีประโยชน์ในการพิจารณาติดตั้งพัดลมระบายอากาศ การอพยพกรณีหกรั่วไหล เช่น หากมีการหกรั่วไหลของสารเคมีที่มีความหนาแน่นมากกว่า 1 ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ต่ำ บนพื้น หรือที่อับอากาศ เป็นต้น
สารเคมี
นน.
โมเลกุล
ความหนาแน่นไอ
เปรียบเทียบกับอากาศ
อากาศ (air)
29 (Avg)
1.00
ปกติ
ปกติ
คาร์บอนไดออกไซด์
44
1.52
หนักกว่าอากาศ
จะสะสมในที่ที่ต่ำ
ไฮโดรเจน 2 0.07 เบากว่าอากาศมาก จะลอยสู่บรรยากาศได้อย่างรวดเร็ว
มีเทน
16
0.55
เบากว่าอากาศ
จะลอยสู่บรรยากาศ
โพรเพน
44
1.52
หนักกว่าอากาศ
จะสะสมในที่ที่ต่ำ
VAPOR PRESSURE (ความดันไอ) คือ แนวโน้มของของแข็งหรือของเหลวที่จะระเหยกลายเป็นไอในอากาศ ซึ่งโดยปกติสารที่มีจุดเดือดต่ำจะมีค่าความดันไอสูง เพราะสามารถระเหยออกสู่บรรยากาศได้เร็วและก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานได้ง่าย และถ้าเก็บสารเคมีที่มีความดันไอสูงในภาชนะบรรจุปิดสนิทอาจเสี่ยงต่การเกิดระเบิดได้ง่ายเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น และในทางกลับกันสารเคมีที่มีจุดเดือดสูง จะมีค่าความดันไอต่ำ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วค่าความดันไอมักจะแสดงอยุ่ในหน่วยมิลลิเมตรปรอท (mmHg) เช่น
สารเคมี
จุดเดือด ( °F)
ความดันไอ (มม.ปรอท)
Chlorine
-29
>760
Acetone
133
180
Xylene
269
9
Cadmiun
1409
~0
ความสามารถในการละลายน้ำได้ (SOLUBILITY) คือ น้ำหนักของสารเคมีที่สามารถละลายในน้ำได้ ต่อหน่วยปริมาตร (กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร) หรือเปรียบเทียบเป็นต่อร้อยละ (%) เช่น กลูโคส สามารถละลายน้ำได้ดีมากถึง 100 % ในขณะที่เมทธิลีนคลอไรด์ ละลายน้ำได้เพียง 2 % เท่านั้น
  • ข้อสังเกต ถ้าคุณสมบัติของสารเคมีที่ไม่ละลายน้ำเมื่อเกิดการหกรั่วไหลก็ต้องระมัดระวังว่าสารเคมีจะจมหรือลอยน้ำต่อไป สารเคมีที่ละลายน้ำได้ดีเมื่อเกิดการรั่วไหล อาจประยุกต์ใช้น้ำฉีดให้เป็นฝอยเพื่อลดการแพร่กระจายของไอระเหยได้ดีกว่า